วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

MDs’ Style | Introducing Levi’s Vintage Clothing 2/2


LVC2-02
LVC2-02
ในปี 1920 กางเกงยีนส์ Levi’s 501 ได้เปลี่ยนมาใช้ผ้าจาก Cone Mills ที่ผลิตจากเมือง Greensboro รัฐ North Carolica ซึ่งสามารถผลิตผ้าได้ดีเหมือนอย่างรุ่นที่ Levi’s ใช้ผ้าจาก Amoskeag ซึ่งตอนปลายปี 20s ทาง Cone Mills ได้เปลี่ยนน้ำหนักผ้ามาเป็น 10oz มีริมผ้าโดยใช้เส้นด้ายสีแดงเพื่อเพิ่มเอกลักษณ์จนทำให้ Levi’s 501 เริ่มมีจุดสังเกตที่เด่นชัดมากขึ้นในที่สุด ซึ่งรหัส “01” คือรหัสที่จัดขึ้นมาเฉพาะสำหรับกางเกงยีนส์ที่ผลิตด้วยผ้าจาก Cone Mills เท่านั้น (ในยุคสมัยนั้น) ซึ่งมีริมแดง (ถูกพับโชว์ริมกางเกงเวลาใส่ก่อนทำการแช่น้ำ) เป็นเอกลักษณ์ของ Levi’s

LVC2-03
กางเกงยีนส์ในสมัยนั้นยังคงถูกผลิตเพื่อใช้งานในเหมือง เหล่า Cowboys และงานที่ต้องใช้แรงงานสูง จนก้าวมายังปี 1930-1940 ทาง Levi’s ก็ได้เพิ่มรายละเอียดอย่าง Red Tab (แถบสีแดงข้างกระเป๋าขวา) ซึ่งเพิ่มมาครั้งแรกในปี 1937 นอกเหนือจากลายกระเป๋าหลังและริมแดง และในปีนี้ก็ได้ปรับให้กางเกงยีนส์ตอกหมุดโลหะแบบซ่อน Hidden Rivets เพราะการตัดเย็บแบบโชว์หมุดโลหะทำให้เครื่องเรือนในบ้านอย่างโซฟาพัง เนื่องจากมันทนเหลือเกิน และกระดุม Suspender ก็ได้ถูกตัดออกจากตัวกางเกงอย่างถาวร

LVC2-01
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทาง Levi’s ได้ถูกจำกัดวัสดุในการผลิตกางเกงเนื่องจากต้องนำเอาวัตถุดิบที่ดีส่วนผสมอย่างโลหะไปทำอาวุธ และด้ายที่เป็นการตกแต่งต้องถูกยกเลิกเพื่อเอาไปตัดเย็บชุดทหาร ทำให้หมุดตรงช่องใส่นาฬิกาถูกยกเลิก หมุดบริเวณเป้ากางเกงและสายรัดด้านหลังก็หายไปเช่นกัน แถมที่ร้ายที่สุดคือด้ายที่ใช้เย็บลายกระเป๋าหลังก็หายไปเช่นกัน แต่ทาง Levi’s ก็แก้ปัญหาด้วยการพิมพ์ลายกระเป๋าหลังแทน ซึ่งถือว่าเป็นปีที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดและมีเรื่องราวมากที่สุดรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว

LVC2-06
พอเข้าปี 1947 ทาง Levi’s ได้ผลิตกางเกงยีนส์รุ่นที่เรียกได้ว่าเป็น “Modern 501” ด้วยทรงที่เล็กกว่าปกติ และการเย็บลายกระเป๋าหลังด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้นคือ Double Needle Machines เพื่อให้ได้กระเป๋าหลังที่มีลายสวยกว่าอดีต และเอาสายรัดกางเกงด้านหลังออก ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกาเกงยีนส์ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ (และถือว่าเป็นรุ่นที่ยอดนิยมที่สุดทั้งในและต่างประเทศ) พอเข้าสู่ยุค 50s ก็เริ่มเป็นที่นิยมจนกลายเป็นเครื่องแบบในภาพยนต์จอเงิน และถูกใส่โดยคนดังอย่าง Gary Cooper / John Wayne / Marlon Brando หรือแม้กระทั้งJames Dean

LVC02-04
จนถึงปี 1966 ทาง Levi’s ก็ได้นำเอาหมุดโลหะที่ตอกซ่อนไว้ออก เพราะเจ้าหมุดโลหะเจ้ากรรมก็ยังคงแข็งแรงจนทะเลผ้ายีนส์ออกมาทำลายข้าวของในบ้านอยู่ดี และแทนที่ด้วยการเย็บแบบ Bar Tack เพราะการเย็บแบบนี้แข็งแรงทนทานพอที่จะใช้แทนหมุดได้ (ต้องขอบคุณเทคโนโลยีจริงๆ)  จนเข้าสู่ปี 1971 ทาง Levi’s ก็ได้เปลี่ยนรูปแบบอีกครั้งคือเปลี่ยนคำที่อยู่ใน Red Tab จาก LEVIS เป็นตัว “e” เล็ก จนเป็นที่มาของคำว่า “Big E”
ถึงแม้ว่าจะผ่านมากกว่า 140 ปี กางเกงยีนส์ก็ยังคงอยู่ในตู้เสื้อผ้าของผู้ชายไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ถึงแม้แบรนด์อื่นๆ จะเริ่มมีบทบาทเข้ามาในวงการมากขึ้น แต่ต้นกำเนิดอย่าง 501 ก็ยังคงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแม่บทไม่ว่าจะเป็นปี 1947 / 1954 / 1955 ซึ่ง MDs’ จะหยิบข้อมูลมานำเสนอให้ทุกท่านได้อ่านกันนะครับ แต่ที่แน่ๆ ถ้าใครอยากเริ่มเล่นกางเกงยีนส์สาย Vintage จริงๆ ต้องเริ่มที่นี่ครับ “Levi’s Vintage Clothing” หรือที่เรียกว่า “LVC” นี่แหละ สุดทางที่สุด

ขอบคุณที่มา http://www.mendetails.com/

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

MDs’ Style | Introducing Levi’s Vintage Clothing 1/2


501-1
MDs’ เชื่อว่าหนึ่งสิ่งที่มีติดตู้เสื้อผ้าของผู้ชายอย่างเราๆ คงหนีไม่พ้นกางเกงทอลาย Twill ย้อมครามสีน้ำเงินเข้มหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ยีนส์” กางเกงที่คุณสามารถใส่ไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเที่ยว ทำงาน หรือแม้กระทั้งทำสวนหลังบ้านก็ตาม และกางเกงยีนส์ที่ทุกคนรู้จักกันดีนั้น มีต้นกำเนิดมาจากหนุ่มยุโรปที่เติบโตและทำธุรกิจเสื้อผ้าในอเมริกา
501-2
คุณ Levis Strauss เป็นคนชาวบาวาเรี่ยน (ทางตอนใต้ของเยอรมัน) โดยอพยพเข้ามายังอเมริกาในปี 1853 โดยเริ่มต้นธุรกิจค้าขายเสื้อผ้าใน San Francisco ส่วนคุณ Jacob Davis เดิมเป็นคนลัตเวีย และเดินทางมายังอเมริกาเช่นกันโดยทำงานเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าในรัฐ Nevada ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าจะกล่าวว่า “ผู้ที่คิดค้นการผลิตกางเกงแบบ Levi’s จนถึงปัจจุบันคือคุณ Jacob Davis นั้นคงไม่ผิด” เนื่องจากมีแม่บ้านท่านหนึ่งมาสั่งตัดกางเกงที่ไม่มีวันขาด (เชื่อเถอะว่ามีคนแบบนี้ถึงได้มี Levi’s นะครับ) คุณ Jacob เลยตัดกางเกงผ้า Cotton Duck Canvas สีขาวและมีการยึดมุมกางเกงด้วย Rivets ซึ่งนั่นทำให้คุณ Jacob รู้ว่าเค้าขายได้แน่ๆ เลยจดสิทธิบัตรและเริ่มหาผู้ร่วมอุดมการณ์ และจะเป็นใครไปได้นอกจากคนที่ส่งผ้าให้กับเค้ามาโดยตลอดอย่างคุณ Levis
501-3
ทั้ง 2 ร่วมทำสัญญากันใน วันที่ 20 พฤษภาคม 1873 และได้ให้กำเนิด “Blue Jeans” ขึ้น โดยจริงๆ แล้วกางเกงตัวแรกไม่ได้ถูกเรียกว่ายีนส์นะครับ แต่เรียกว่า “Waist Overalls” หรือเรียกว่า “Overalls” เท่านั้น ผลิตโดยผ้า 9oz ผ้าเดนิมสีคราม โดยมาจากโรงงาน Amoskeag Mill ในเมือง Manchester รัฐ New Hampshire ตัดเย็บใน San Francisco และถูกขายในร้านเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นแบบของแบรนด์ในปี 1890 ซึ่งในปีนี้กางเกงมี Buckle อยู่ด้านหลังและกระดุมสำหรับใส่ Suspender (สายสะพายคล้ายเอี้ยม) ซึ่งถือได้ว่าเป็นลักษณะพิเศษของ Levi’s ในยุคนั้นและได้เปลี่ยนการเรียกชื่อกางเกงจากแต่ก่อนเรียกว่า “XX” (จึงเป็นที่มาของ 501XX) กลายมาเป็นเรียกตาม Lot ผลิตคือ 501
501-4
หลายคนคงสงสัยสินะครับว่าตัวเลข 501 มาจากไหน MDs’ มีคำตอบนะ แต่เพราะว่าประวัติของบริษัททั้งหมดถูกทำลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 1906 ทำให้ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทเลือกใช้ตัวเลขหลังจากที่สิทธิบัตรหมดลงในปี 1890 (ในการได้ถือครอง “การเย็บแบบตอกหมุดโลหะ” แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลากว่า 8 ปีเต็ม) จึงได้ใส่ตัวเลขเข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าเลือกสั่งรุ่นพิเศษเท่านั้น ซึ่งตัวเลขที่เริ่มต้นด้วยเลข 5 คือผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของ LS&CO. ยกตัวอย่าเช่น 501 คือกางเกงยีนส์ (Waist Overalls) / 506 คือ Jacket และยังมีรหัสตัวเลขอีกเยอะแยะนะครับ
501-5
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบกางเกงยีนส์ในปีต่อๆ มา มีให้เห็นเยอะนะครับ เช่นในปี 1901 ได้ผลิตกางเกงที่มีกระเป๋าหลังเพียงข้างเดียว ส่วนสาเหตุที่ผลิตแบบนั้นไม่มีใครทราบได้ และเริ่มมีการผลิตหูเข็มขัดแทนที่กระดุมสำหรับ Suspender ในปี 1922 เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มใช้เข็มขัดกันหมด แม้กระทั้งร้านขายเสื้อผ้าที่ขายกางเกงยีนส์ยังต้องมีกรรไกรเอาไว้ตัดกระดุม Suspender ทิ้งหากลูกค้าต้องการด้วยนะ
เกร็ดยังมีอีกเยอะ MDs’ จะเอามาเล่าต่อให้ Part ต่อไปเพื่อไม่ให้บทความยาวเกินนะครับ เพราะยังมีกางเกงอีกหลายปีเลยทีเดียวที่น่าสนใจและมีการปรับเปลี่ยนตามกาลเวลา ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุดในวงการ Blue Jeans แล้วก็ว่าได้กับ LVC / Levi’s Vintage Clothing

ที่มา http://www.mendetails.com

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

Indigoskin Jeans

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมจะยังอยู่กับแบรนด์ Indigoskin ครับ แต่วันนี้จะมียีนส์ตัว limited "วินเทจซีรี่ย์" ซึ่งเป็นอะไรที่พิเศษของทางแบรนด์มารีวิวให้เพื่อนๆได้ชมกัน ต้องบอกว่าช่วงนี้กำลังตกหลุมหลงรักแบรนด์นี้อยู่ครับและตอนนี้ก็ได้ครอบครองทั้งรุ่นธรรมดาและวินเทจซีรี่ย์ของทางแบรนด์แล้ว นับว่าเป็นการปิดฉากรีวิวยีนส์ในปีนี้ของผมได้ล่ะ และคิดว่ากว่าจะได้รีวิวเรื่องยีนส์กันอีกครั้งคงเป็นปีหน้าครับ (ถ้ากิเลสเล่นงานไม่แน่อาจมีอีกซักตัว ฮ่าๆ) 

และเช่นเคยครับผมขอเริ่มต้นจากประวัติของทางแบรนด์ Indigoskin 

Indogoskin ถือกำเนิดจาก "ธัชวีร์ สนธิระติ" ผู้ที่รักการสวมใส่กางเกงยีนส์เป็นชีวิตจิตใจโดยมีแนวคิดว่า "Quality Of Siam" คือสิ่งที่ Indigoskin ต้องการนำเสนอผ่านกางเกงยีนส์ โดยใช้การผสมผสานของศิลปะไทยต่างๆ เช่น "ลายกนก" ที่ปักด้านหลัง และผ้าพิมพ์ลายไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก "โขมพัสตร์" กระดุมและการเย็บด้าย "ทอง-นาก-เงิน" ซึ่งถือเป็นส่วนผสมหลักที่ได้มีการสอดแทรกอยู่ในส่วนต่างๆของตัวยีนส์โดยผ่านการตัดเย็บอย่างประณีตบรรจงของช่างเย็บระดับแนวหน้าฝีมือคนไทยจึงทำให้ถือกำเนิดกางเกงยีนส์สัญชาติไทยตัวนี้ขึ้นมา 

Indigoskin V-Series (ตัว V จะย่อมาจากคำว่า Vintage) ใช้ผ้าจาก Collect Rampuya ในเครือ Japan Blue Group ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทผลิตผ้ายีนส์ระดับชั้นอ๋องที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถผลิตผ้ายีนส์ Vintage ได้ดีที่สุดในญี่ปุ่นเจ้านึง ผลงานที่สร้างชื่อเป็นอย่างมากของ Collect ก็คือ กางเกงยีนส์ที่แพงที่สุดในโลก เป็นผ้าที่ทอด้วยมืออย่างเจ้่า Momotaro Jeans (ราคา 178,500.00 JPY) หรือแม้กระทั่งเป็นเจ้าแรกๆของญี่ปุ่นที่ได้นำ Cotton ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Zimbabwe Cotton มาทอเป็นผ้ายีนส์

ภาพประกอบจาก Japan Blue Group เว็บ

โดยรวม Indigoskin V-Series คือความเรียบง่ายของการดีไซส์ผสมผสานกับผ้ายีนส์จากบริษัทที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีผ้ายีนส์ที่ดีและแพงที่สุดในโลกอย่าง Collect ผสมผสานด้วยผ้าทอมือลายสายฝน ที่ผ่านการทออย่างประณีตบรรจงของชาวบ้านใน "จังหวัดสกลนคร" อีกทั้งยังทำการย้อม Natural Indigo ด้วยมือ เมื่อสิ่งเหล่านี้รวมกันจึงทำให้เกิด Indigoskin V-Series นี้ขึ้นมา (ภาพประกอบจากเว็บ Indigoskin)


ซึ่งการดีไซน์ในรุ่นนี้จะกลับไปที่ความเรียบง่ายของกางเกงยีนส์แบบ Vintage ที่มีการเย็บด้วยด้ายสีนำ้ตาลทองสลับเหลือง จะพบเห็นได้ในยีนส์คลาสสิคทั่วไป บวกทั้งเอกลักษณ์การออกแบบของ Indigoskin ที่ใช้ลายกนก และมีการประยุกต์ตัวยีนส์เข้ากับผ้าทอมือลายสายฝนจากจังหวัดสกลนครที่นำมาทดแทนผ้าพิมพ์ลายไทยจาก "โขมพัสตร์" ที่ปรกติใช้ในรุ่นธรรมดาของทางแบรนด์ ผสมผสานกับการใช้กับกระดุมซึ่งเป็นสีเงินรมดำผสมกับหมุดแบบเขี้ยวสีทองปั๊มโลโก้ Indigoskin และใช้ขาตอก Rivet สีนาก จากทั้งหมดนั้นจึงออกมาเป็น limited "วินเทจซีรี่ย์" ของแบรนด์ Indigoskin ได้อยางลงตัว

สำหรับ V-Series นี้จะมีออกมา 2 ทรงครับคือ
1 - Straight Fit - ทรงกระบอกเล็กเข้ารูป
2 - Slim Fit - ทรงสลิมกระบอกเล็กเข้ารูป
ซึ่งทรงจะแตกต่างจากรุ่นปรกติของ Indigoskin ทั่วไป ลองเปรียบเทียบดูขนาดได้ในส่วนของ Size Charts ครับ


ขอบคุณที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=joeike&month=11-2010&date=13&group=2&gblog=69

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

Pure Blue Japan Jeans

Pure Blue Japan เป็น แบรนด์จาก เมือง Okayama ประเทศ ญุี่ปุ่น ก่อตั้งในปี 1997 ปัจจุบันถือเป็นแบรนด์ใหญ่แบรนด์หนึ่ง

มีเสื้อผ้าในไลน์ที่ค่อนข้างกว้าง และหลากหลาย นอกเหนือไปจากกางเกงยีนส์ ความโดดเด่นของแบรนด์นี้ น่าจะอยู่ที่ความเรียบง่าย

ในดีเทลของตัวกางเกง แต่มีผ้าที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ และมีการเฟดที่สวยงาม

ทรงกางเกง


การจำแนกทรงของแบรนด์นี้นั้น ไม่ซับซ้อน เพราะจะใช้เลขเพียงแค่ สามตัวเท่านั้น ซึ่งตัวเลขรุ่นนี้นั้นนอกจากจะแบ่งแยกทรงแล้ว

ยังใช้แบ่งแยกผ้าด้วย ซึ่งทรงและผ้าต่างๆมีดังนี้

Al-001 เป็นยีนส์กระดุมผ้า 18.5 oz. ย้อมมือด้วย Natural Indigo ซึ่งไม่ผ่านสารสังเคราะห์ใดๆ โดยช่างฝีมือช่างชาว

ญี่ปุ่น จาก Tokushima ซึ่งถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสมบัติของชาติ โดยการย้อมนั้นจะทำการย้อมจนกว่าอินดิโก้จะซึมถึงแกนกลางของด้าย 

ซึ่งมีผลทำให้ผ้าชนิดนี้จะเฟดค่อนข้างยาก แต่ก็จะมีเอกลักษณ์ และความสวยงามต่างจากผ้าชนิดอื่นๆ ปักลายใบไม่สีขาว ทรงจะเหมือน

กับรุ่น XX-003 ,XX-006 คือเป็นทรงกระบอกขาตรง รุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่ราคาแพงที่สุดของแบรนด์

Al-002 รายละเอียดต่างๆเหมือน Al-001 แต่ทรงจะเป็นขาตรงที่ค่อนข้างสลิม

XX-003
 เป็นยีนส์กระดุม ผ้า 14 oz. ริมสีฟ้า ถือเป็นผ้า Signature ของแบรนด์นี้ ซึ่งถูกใช้ในอีกหลายๆ ทรง สำหรับทรงของรุ่นนี้จะเป็นทรงขาตรง ออกแนว Vintage

XX-004 เป็นยีนส์กระดุม ผ้า 14 oz. ริมสีฟ้า ทรงขาบาน(Flare)

โดยช่วงต้นขาจะแคบ แล้วก็จะเริ่มบานออกช่วงใต้เข่าลงมา

XX-005 ทรงยอดนิยมของแบรนด์ เป็นยีนส์กระดุม ผ้า 14 oz. ริมสีฟ้า ช่วงต้นขาจะเหมือนกับ XX-004 คือจะแคบ ลงมาจนถึงเข่า

จากนั้นจากเข่าลงมาจนถึงปลายขาจะตรงลงมา โดยความกว้างของเข่าและปลายขาจะเท่ากัน 

XX-005BK เหมือน XX-005 ทุกอย่างแม้แต่ผ้าก็ชนิดเดียวกัน ต่างกันแค่เป็นผ้าสีดำ

NC-005 เหมือน XX-005 ทุกอย่างแม้แต่ผ้าก็ชนิดเดียวกัน ต่างกันตรงที่รุ่นนี้จะไม่เฟด เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ

สีกางเกงตอนเข้มและไม่ต้องการให้เฟดออก

XX-006 เป็นยีนส์กระดุม ทรงขาตรง (เหมือน XX-003) สิ่งที่ต่างคือผ้า จะเป็น ผ้า 13.5 oz. ซึ่งย้อมสีให้อ่อนกว่า และอีกอย่างที่ต่างออกไปคือเนื้อผ้าจะเรียบ ไม่ Slubby เหมือนรุ่นอื่นๆ

XX-007เป็นยีนส์กระดุม ทรง และผ้าเนื้อเดียวกับ XX-005 โดยด้ายของรุ่นนี้จะเป็นสี Indigo ทั้งสองแนว (warp & weft) 

ทำให้สีกางเกงจะเข้มมาก (ไม่มีจุดขาวบนเนื้อผ้า) ตอนอยู่ในที่ไม่มีแสงจะดูออกเกือบเป็นสีดำ แต่เมื่อโดนแสงจะเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้ม

XX-008 ผ้าเดียวกับรุ่น XX-006 แต่ทรงจะเหมือน XX-005

XX-009
 ผ้าเดียวกับรุ่น XX-007 แต่จะเป็นทรงขาตรง

XX-010 ทั้งทรง และผ้าเป็นแบบเดียวกับ XX-005 แต่ย้อมสีด้าย weft เป็นสีม่วง 

ทำให้กางเกงออกเหลือบม่วง เวลาออกแดด จะเห็นกางเกงเป็นสีม่วงอย่างชัดเจน

XX-011
 เป็นยีนส์กระดุม ผ้า 13.5 oz. Left Hand Twill ด้าย warp เป็นสีน้ำเงิน ในขณะที่ด้าย weft เป็นสีเทา ทรงกระบอกเล็ก

(ทรงเล็กที่สุดของแบรนด์)

NC-011 เป็นยีนส์ ดำทั้งด้าย Warp&Weft ซึ่งจะทำให้กางเกงไม่เฟดออกเป็นสีขาว หรือเทาเหมือนกางเกงยีนส์ดำทั่วไป ทรงกระบอกเล็ก 

ทรงเดียวกับ XX-011

XX-012 ผ้าเดียวกับ XX-007 ส่วนทรงเป็นกระบอกเล็กทรงเดียวกับ XX-011 

XX-013 เป็นยีนส์กระดุม ทรง และผ้าเนื้อเดียวกับ XX-005 ส่วนทรงจะเป็นกระบอกเล็กเหมือน XX-011

***รุ่นที่ตัวหนังสือเป็นสีเดียวกัน คือใช้ผ้าเดียวกัน

ทรงสำหรับผู้หญิง

1069 เป็นยีนส์ซิบ ผ้ายืด 95% Cotton 5% Polyurethane สีน้ำเงิน ไม่มีริม 

one wash ทรงกระบอกเล็กของผู้หญิง

1069PP เป็นยีนส์ซิบ ผ้ายืด 95% Cotton 5% Polyurethane สีน้ำเงิน ย้อมสีด้าย weft เป็นสีม่วง ทำให้กางเกงออกเหลือบม่วง

เวลาออกแดด จะเห็นกางเกงเป็นสีม่วงอย่างชัดเจน ไม่มีริม one wash ทรงกระบอกเล็กของผู้หญิง

1088 เป็นยีนส์ซิบ ผ้ายืด 95% Cotton 5% Polyurethane ไม่มีป้ายหนัง เน้นเป็นกางเกงสี ไม่มีริม one wash

ทรงกระบอกเล็กของผู้หญิง
Fit Pics 

AI-002





XX-003



XX-005





XX-007





XX-011







XX-013

Click this bar to view the original image of 737x488px.


Click this bar to view the original image of 737x488px.


ทรงสำหรับผู้หญิง

1069 Purple Face


กรณีที่ผู้หญิงอยากใส่ทรงอื่นๆอย่าง XX-011 ก็สามารถทำได้ จะออกมาเป็นเช่นนี้ครับ




ขอบคุณที่มา http://www.soul4street.com/

EVISU JEANS

EVISU http://www.evisu.jp/
เดิมที Hidehiko Yamane เป็นเพียงคนหาของที่จะนำเข้ามาขายในประเทศ
ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่า การที่จะหา Jeans คุณภาพที่เป็นแบบ Original นั้น
แทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะหาในตลาด เขาจึงเริ่มมองหาเครื่องทอกระสวย
ของ America จากยุค 1950s ที่สามารถทอผ้า 40 เมตร สำหรับ Jeans ที่มีริม
หลังจากที่ผิดหวังจากการทำ Jeans Modern เพื่อขายแบบ Mass Product กับ Brand ก่อนหน้านี้
ช่วงแรกเค้าใช้ชื่อว่า Evis ตามเทพเจ้าแห่งความมั่นคั่ง
และในปี 1991 Yamane ก็ได้ตั้ง Brand ของตนเองอย่างเป็นทางการขึ้นมา ในชื่อ EVISU
ซึ่ง Concept ของ Brand คือ พยายามทำให้ใกล้เคียงกับยุคดั้งเดิม
โดยการนำเครื่องทอผ้าแบบดั้งเดิม ผลิตจากฝ้าย American ที่ปลูกใน Osaka
ย้อมสีด้วยถ่านสีคราม เมื่อมา Matt กับ Design ที่มีการ Paint Jeans
แบบที่ Levi's เคยใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 นำมาปรับปรุงจนได้เอกลักษณ์ของตน
จนกลายเป็น Logo นกนางนวล ของ EVISU ในทุกวันนี้
และจากการ Paint ด้วยมือ ทำให้งานออกมาช้าและปริมาณน้อย
ทำให้ Evisu เป็นที่คลั่งไคล้ของแฟนๆอย่างรวดเร็ว
ซึ่ง Yamane ก็เล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ กับ Original Jeans
จึงสร้าง Jeans ในระดับ Premium ขึ้น ที่ใส่ใจงานทุกรายละเอียด
ที่จะทำให้ Jeans เหมือน Vintage Jeans ในช่วงยุค 40's 50's มากที่สุด
ในช่วงต้นของปี 2000s Evisu ก็ก้าวกระโดดไปดังแบบระเบิดเถิดเถิงในต่างประเทศ
Evisu เป็น Brand ที่ Go Inter และขายดีเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
กลายเป็น Logo ของ Jeans แนว Urban Street
ถึงกระนั้น Yamane ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นของเขาไว้ในงานเสมอ

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559

FULL COUNT Jeans

FULL COUNT http://www.fullcount.co.jp/
ในช่วงยุค 80's  Mikiharu Tsujita เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ทำงานกับ Lapine
ร้านขายของแนว Vintage ที่มีเสียงชื่อ และด้วยความหลงใหลใน Vintage Jeans
Tsujita จึงร่วมเดินไปกับ  Hidehiko Yamane (ผุ้ก่อตั้ง Evisu)
ตระเวณไปถึงอเมริกา เพื่อตามล่าหา Jeans และเสื้อผ้าแนว Vintage
แต่จากที่ Levi 's เปลี่ยนเจ้าของ (จากคนอเมริกาไปคนญี่ปุ่น)
ทำให้ Jeans Levi's ของในประเทศมีมากเกินความต้องการ
จึงเป็นการยาก ที่จะหา Jeans ที่ใช่ในราคาที่เหมาะสม กับร้านขายของมือสองอย่าง Lapine
ดังนั้นในปี '89 Tsujita และ Yamane จึงตัดสินใจร่วมกันสร้าง Brand Rodeo
(ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของร้าน Lapine) Jeans Style Vintage แบบที่พวกเขาหลงใหล
แม้ Rodeo จะเริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น แต่ก็ต้องปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว
เพราะทั้งสองมีทัศนะคติในการสร้าง Brand ที่แตกต่างกัน
ในปี 1991 Yamane จึงได้ออกไปสร้าง Brand ใหม่ใน Style ตัวเอง
คือ Evis (ภายหลังเปลี่ยนมาเป็น Evisu)
ส่วน Tsujita ก็ได้แยกตัวออกมาตั้ง FULL COUNT ในปี 1992 ในวัย 38 ปี
ไม่นาน FULL COUNT ก็มี่ชื่อเสียง และเป็นเป็นที่รู้จักของชาวญี่ปุ่น
เค้ายังคงแนว Jeans Style Vintage ไว้ใน Brand ของเค้า คือ เป็น Jeans ที่มีริม (Selvage)
ใช้ Natural Indigo และต้อง Zimbabwean cotton 100% เท่านั้น
ซึ่งจะทำให้ Dry Jeans ในแบบ Vintage นุ่มและสวมใส่สบาย
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Brand เพราะ Tsujita มีแนวคิดที่ว่า
Trend Fashion อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่ความนุ่มสบายไม่เคยตกยุค
FULL COUNT จึงอยู่เหนือกระแส Fashion ใดๆ

STUDIO D'ARTISAN JEANS

STUDIO D'ARTISAN http://www.dartisan.co.jp/
ก่อตั้งโดย Shigeharu Tagaki ในปี 1979
มักจะเป็นเจ้าแรกๆที่คิดค้นเทคนิคหรือลูกเล่นใหม่ๆมาใส่ในตัว Jeans Style Vintage อยู่เสมอ
Tagaki เลือกใช้สิ่งที่มีคุณภาพ และถือว่าเป็นที่สุดของทางด้านนั้นๆเสมอ
ทั้งใช้ Zimbubwe Cotton 100% , ย้อมสีแบบพิเศษที่ Tokushima , ทอผ้าใน Okayama
(เมืองที่ถือว่าเป็นสุดยอดเรื่องการทอฝ้ายและการย้อมคราม)
และออกแบบ Design ที่ Osaka เมืองแห่ง Jeans
แต่ความลับที่ทำให้ Studio D'Artisan เป็น Brand ในกลุ่ม Premium ก็คือ
การเลือกใช้ Vintage Shuttle Looms เครื่องทอโบราณ
ที่ต้องทำแบบ Handmade ผลิต Jeans Vintage ได้ดีที่สุด
อีกทั้งยังมีช่างผู้เชี่ยวชาญ ที่คอยคัดกรองและปรับปรุงคุณภาพใยฝ้ายให้มีคุณภาพเสมอ
ที่สำคัญคือ การย้อมด้วยสีแบบพิเศษ และไม่มีการใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้น
โดยที่สำคัญคือ การย้อมด้วยสีแบบพิเศษ โดยการใช้ indigo และการย้อมด้วย Copper
ซึ่งจะทำให้กลายเป็น Jeans เก่า แบบมีเอกลักษณ์
ทั้งหมดนี้จะผลิตแบบ Limited เท่านั้น
ซึ่งจะทำให้ Jeans  Studio D'Artisan มีจำนวนจำกัด
และเป็นที่ต้องการของบรรดาคอ Jeans ที่หลงใหลใน Jeans Premium

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

Big John Jeans

Big John แบรนด์ยีนส์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งแต่ละรุ่นนั้นจะเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด มาเข้ามาให้เลือกกันหลายแบบหลายทรง ตามไปชมกันได้เลยครับ…
1
I WANT THIS!

เดิมที Big John เป็นแบรนด์ที่ผลิตชุดยูนิฟอร์มในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1940 เสื้อผ้าของเขาจะออกไสตล์ Workwear หรือแนวทหารอเมริกันเพราะความนิยมในญี่ปุ่น ไม่นานนักยีนส์ได้รับความนิยมอย่างมากสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง วัยรุ่นชาวญี่ปุ่นเห็นทหารอเมริกันแต่งตัวโดยใส่ยีนส์ที่เขาไม่ค่อยได้รู้จักกันมาก่อนประกอบกับความนิยมอื่นๆจากอเมริกา เช่น James Dean ดาราที่นำยีนส์มาใส่และเป็น Idol ของวัยรุ่นทั่วโลก คนญี่ปุ่นหลายๆคนจึงเริ่มเก็บสตางค์ ซื้อของมือสองของทหารและ Big John ก็นำยีนส์มือสองมาขายเช่นกันแต่เพราะขนาดเอว, สะโพก มีความแตกต่างจึงต้องนำไปแก้เสียก่อน
1
I WANT THIS!

Big John ได้เริ่มซื้อผ้ายีนส์จาก Cone Mill ที่ทอผ้าให้ Levi’s มาตัดเย็บเองเพื่อให้ขนาดพอกับชาวญี่ปุ่น ครั้นเมื่อผ่านไปความต้องการของชาวญี่ปุ่นเติบโตขึ้นเร็วมากและจำนวนผ้าที่ Big John สั่งก็ขยายมากขึ้นทำให้ Levi’s สั่งทาง Cone Mill ให้หยุดส่งผ้าให้กับ Big John ทันที ทาง Big John เองจึงได้ร่วมมือกับโรงทอผ้า Kurabo ซึ่งหลังจากทอผ้าตัวอย่างมาถึง8ครั้ง (KD8->Kurabo Denim 8)ถึงจะได้ผ้าตัวที่ Big John พอใจ ซึ่งนอกจากจะเป็นผ้าตัวแรกของ Big John ที่ทอเองเย็บเองในญี่ปุ่น ยังเป็นยีนส์ตัวแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในญี่ปุ่นด้วยและทาง Big John เองก็ยังใช้ผ้าตัวนี้ในคอลเล็คชั่นของเขาอยู่เช่นกันครับ
1
I WANT THIS!

ส่วน Big John ที่เราเคยเห็นกันอยู่ตามศูนย์การค้าทั่วไปนั้นจะเป็นการใช้ Licensed คือ เป็นการขอใช้ชื่อ Big John เท่านั้น ซึ่งการผลิตและเย็บจะทำในประเทศไทย เรื่องคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทอ การย้อม การตัดเย็บจะแตกต่างกันกับสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิงครับ


1ข้อมูลจาก http://prontodenim.com/








I WANT THIS!

The Flat Head Jeans

The Flat Head เป็นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งโดย คุณ Masayoshi Kobayashi ในปี 1996 โดยตอนเริ่มก่อตั้งแบรนด์นั้น

ทางคุณ Kobayashi ได้นำกางเกงยีนส์เก่าสมัยปี 1920 -1960 มาแยกส่วนเพื่อวิเคราะห์ ทั้งในเรื่องการย้อม และการตัดเย็บ

เสื้อผ้าทั้งหมดในไลน์การผลิตนั้นจะ เป็นแนว คลาสสิคสไตล์ วัตถุดิบที่นำมาใช้ต้อมาจากแหล่งที่ดีที่สุดเท่านั้น รวมไปถึงช่างฝีมือก็ต้อง

เป็นช่างที่ฝีมือดีจริงๆ

ผ้าที่ทำมาใช้ตัดเย็บกางเกงนั้นจะถูกทอขึ้นมาด้วยเครื่องทอสมัยเก่าซึ่งวันนึงสามารถทอผ้าได้เพียงแค่ 50 เมตรเท่านั้น 

ในขณะที่การตัดเย็บกางเกงตัวหนึ่งนั้นก็ต้องใช้ผ้าถึง 3 เมตรแล้ว โดยสาเหตุที่ต้องใช้เครื่องทอสมัยเก่าก็เพราะว่าทางแบรนด์

ต้องการความเป็นวินเทจจริงๆ ซึ่งการทอโดยใช้เครื่องจักรสมัยใหม่นั้นไม่สามารถให้ความรู้สึกและสัมผัสแบบนี้ได้

ในเรื่องของการย้อมนั้นทางแบรนด์ก็มีวิธีการย้อมที่เป็นเอกลักษณ์ โดยจะทำการย้อม Indigo ให้จับอยู่บริเวณผิวเท่านั้น

ส่วนแกนกลางนั้นจะยังคงขาว ซึ่งทำให้การเฟดของ TFH นั้นจะมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์

ปัจจุบันทางแบรนด์ได้ขยายไลน์การผลิตที่ค่อนข้างกว้าง โดยมีทั้งในส่วนของ Jacket T-Shirt Shirt ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังต่างๆ รวมไปถึง

เครื่องเล่นเพลงทั้งหลายด้วย


เรื่องผ้าและทรงของแบรนด์นี้นั้น ถ้าใครศึกษาใหม่ๆอาจจะงงซักเล็กน้อย แต่สามารถทำความเข้าใจง่ายๆได้ดังนี้ครับ

ชนิดของผ้า

"1 Series" เป็นผ้าริม 16 oz. ซึ่งถือว่าเป็นผ้าที่หนา และแน่นที่สุดของแบรนด์ กางเกงทุกรุ่นที่รหัส ขึ้นต้นด้วยเลข 1 จะใช้ผ้าชนิดนี้ 

ตัวอย่างเช่น 1001 ,1005

"3 Series" เป็นผ้าริม 14.5 oz. กางเกงทุกรุ่นที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 หรือ Z3 ,F3 จะใช้ผ้าชนิดนี้ ตัวอย่างเช่น 3001 ,F310

"4 Series" เป็นผ้าริม 14.5 oz. สีดำ กางเกงทุกรุ่นที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 จะใช้ผ้าชนิดนี้ ตัวอย่างเช่น 4001

"5 Series" เป็นผ้าริม 14 oz. กางเกงทุกรุ่นที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 หรือ S5 จะใช้ผ้าชนิดนี้ ตัวอย่างเช่น S5001 

ทรงกางเกง 
** ปัจจุบันได้เลิกผลิตบางทรงไปแล้ว

กางเกง TFH นั้นจะแบ่งเป็น ซีรี่ย์หลักๆอยู่ 4 Series ซึ่งแต่ละ ซี่รี่ย์นั้นจะต่างกันที่ผ้า และดีเทลบางส่วน โดยในแต่ละซีรี่ย์ก็จะมีทรงต่างๆซึ่ง

บางทรงก็จะเป็นทรงเดียวกับอีกซีรี่ย์นึง

The Exceed Series ใช้ผ้า 16 oz.(1 Series) มีทรงต่างๆดังนี้

1001 เป็นยีนส์กระดุม ทรงกระบอกเล็ก
1005 เป็นยีนส์กระดุมทรงใกล้เคียง Levi's 501 ปี 1955 ทรงขาตรงออกไปทาง loose
1007 เป็นยีนส์กระดุม ทรงขาม้า

The Pioneer Series ใช้ผ้า 14.5 oz. (3 Series) มีทรงต่างๆดังนี้

3001 เป็นยีนส์ซิบ ทรงกระบอกเล็ก
3002 เป็นยีนส์กระดุม ทรงกระบอกเล็กที่จะเล็กกว่า 3001 (ส่วนที่ต่างชัดเจนจะอยู่ตั้งแต่เข่าลงมาถึงปลายขา)
3003 ทรงคล้าย Levi's รุ่น world war 2 แต่อาจจะมีหมุดน้อยกว่า
3005 เป็นยีนส์กระดุมทรงใกล้เคียง Levi's 501 ปี 1955 ทรงขาตรงออกไปทาง loose
3006 เป็นยีนส์ซิบ ไม่มีริม ทรงขากระดิ่ง ปลายขากว้างมาก 
3007 เป็นยีนส์ซิบ ทรงขาม้า
3008 และ 3009 เป็นยีนส์กระดุม ทรงใกล้เคียง Levi's 501 ปี 1966 ทรงขาตรง

The Frontier Series ใช้ผ้า 14.5 oz. (3 Series) คล้าย Pioneer Series (3xxx) เกือบทุกอย่าง ยกเว้น กระเป๋าหลัง และด้ายที่ใช้เย็บกางเกงเป็น Poly Cotton

ซึ่งจะทนทาน ไม่เปื่อยขาดง่ายเหมือน ด้ายCotton 100% ของ Pioneer Series รวมถึงลายปักที่ปักเป็นเส้นคู่ดูหนากว่า มีทรงต่างๆดังนี้

F310 เป็นยีนส์ซิบ ทรงกระบอกเล็ก
F350 เป็นยีนส์กระดุมทรงใกล้เคียง Levi's 501 ปี 1955 ทรงขาตรงออกไปทาง loose
F370 เป็นยีนส์ซิบ ทรงขาม้า
F380 เป็นยีนส์กระดุม ทรงใกล้เคียง Levi's 501 ปี 1966 ทรงขาตรง
F2001 เป็นยีนส์ซิบ ผ้า 16 oz. ทรงกระบอกเล็ก ** เป็นรุ่นใหม่เย็บแบบ F Series แต่เป็นผ้า 16 oz.

The Future Series ใช้ผ้า 14 oz. (5 Series) มีลายปักสีแดง เป็นตัวหนังสือ FH อยู่มุมกระเป๋าหลัง มีทรงต่างๆดังนี้

S5001 เป็นยีนส์กระดุม ทรงกระบอกเล็ก
S5005 เป็นยีนส์กระดุมทรงใกล้เคียง Levi's 501 ปี 1955 ทรงขาตรงออกไปทาง loose
S5003 เป็นยีนส์กระดุม ทรง Loose (ใหญ่ที่สุดของแบรนด์) และมีสาย clinch ที่เอว
S5007 เป็นยีนส์กระดุม ทรงขาม้า
5100 เป็นรุ่นฉลอง 10 ปี ยีนส์กระดุม ลายปักกระเป๋าหลังสีแดง มี Red Tab ทรงจะใหญ่กว่า 5005 เล็กน้อย

Other

4001 เป็นยีนส์ซิบ ผ้า 14.5 oz. ริมครึ่งเดียว สีดำ ทรงกระบอกเล็ก

FH Balders เป็นยีนส์ซิบ ผ้า 14.5 oz. ทรงสลิม สำหรับผู้หญิง

Fit Pics

1001





1005





3001









F310





3006





3007




S5001





FH Balders







ขอบคุณที่มา http://www.soul4street.com/